มารู้จักกับเสาวรสกันเถอะ Passion Fruit หรือเรียกอีกอย่างว่า กระทกรก มีประโยชน์มากมาย








ส่วนผสม (สำหรับ 15 คน)
สับปะรดลูกขนาดใหญ่ 1 ผล
ส้มเขียวหวาน 1 กก.
เสาวรส 6 ผล
ไลท์ ชูการ์ 12 ซอง
ขิงแก่ทุบ 30 กรัม
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
น้ำแข็งทุบ 2 ถ้วย
สีผสมอาหารสีแดง
ใบสะระแหน่
วิธีทำ
1. นำสับปะรดกับส้มเขียวหวานมาคั้นน้ำ ส่วนเสาวรสคั้นน้ำโดยใช้ผ้าขาวบางห่อและบีบเอาน้ำออก
2. เตรียมหม้อใส่น้ำสะอาด ใส่ไลท์ ชูการ์ นำไปต้มจนเดือด ใส่ขิง ต้มต่อประมาณ 5 นาที จากนั้นใส่สีแดงให้สี ออกแดงเรื่อๆ ยกลงเทใส่ผ้าขาวบางกรองเอากากขิงออก
3. เมื่อได้น้ำหวานแล้วให้ผสมกับน้ำผลไม้ที่คั้นไว้ในข้อ 1 เทใส่ลงภาชนะที่เป็นแก้ว เติมน้ำแข็ง ใส่สับปะรดหั่นชิ้นพอคำและใส่ใบสะระแหน่เล็กน้อย

นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์
ราชการ(แพทย์)
โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปางครับ...

บ้านสุขภาพ


พวกเราคงจะชื่นชอบเสาวรส(เกรพฟรุต)กันไม่มากก็น้อย... วันนี้มีข่าวการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสาวรสกับมะเร็งเต้านมมาฝากครับ

มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับต้นๆ ในผู้หญิง ประมาณ 1 ใน 3 ของมะเร็งทั้งหมดในผู้หญิงฝรั่ง

สถิติผู้หญิงไทยยังพบมะเร็งชนิดนี้น้อยกว่ามะเร็งปากมดลูก ยกเว้นในกรุงเทพฯ ที่พบมะเร็งเต้านมมากกว่ามะเร็งปากมดลูก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์ แคลิฟอร์เนียและฮาวาย สหรัฐฯ ทำการศึกษาผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน 50,000 คน

ผลการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่กินเสาวรส(เกรพฟรุต)วันละ 1 ใน 4 ผลขึ้นไปมีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 30%

นัก วิจัยพบว่า เสาวรสออกฤทธิ์ยับยั้งที่เอนไซม์ของตับ (cytochrome CP450 3A4 / CYP 3A4) ซึ่งทำหน้าที่ทำลายฮอร์โมนเพศหญิง(เอสโทรเจน) ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้น

ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นทำให้มะเร็งที่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเจริญเติบโต และแบ่งตัวเร็วขึ้น

อาจารย์ดอกเตอร์โยอันน์ ลุนน์ นักวิทยาศาสตร์การอาหาร แห่งมูลนิธิโภชนาการสหราชอาณาจักร(หมู่เกาะอังกฤษ)แนะนำว่า

วิธีที่ ปลอดภัยกว่าในการกินผักและผลไม้ให้เพียงพอทุกวัน เพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน และป้องกันมะเร็งบางชนิด คือ “กินอาหารให้หลากหลาย”

วิธีกินอาหารให้หลากหลายคือ การเลือกกินอาหารหลายชนิดหมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่ซ้ำกันทุกวัน และควรเป็นอาหารจากหลายแหล่ง ไม่ใช่จากแหล่งเดียว เพื่อลดโอกาสได้รับอันตราย หรือสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลงชนิดเดิม ฯลฯ ซ้ำซาก

การศึกษานี้เป็นการศึกษาที่ทำในประชากรหมู่มาก เป็นการศึกษาแรกเริ่ม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป

ทาง ที่ปลอดภัยตอนนี้คือ ถ้ากินเสาวรส(เกรพฟรุต)... อย่ากินให้ถึงวันละ 1 ใน 4 ผลทุกวัน เปลี่ยนผักผลไม้เป็นอย่างอื่นหลายๆ อย่าง หมุนเวียนสลับเปลี่ยนกันไป

ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดี ปลอดภัยจากมะเร็งไปนานๆ ครับ


ที่มา : http://gotoknow.org/blog/health2you/112158



คุณรู้หรือไม่ว่า น้ำผลเสาวรสคั้น ช่วยลดอาการของโรคหอบหืด และความดันโลหิตสูงได้ วารสาร “โภชนาการวิจัย” ของออสเตรเลีย รายงานว่า น้ำผลเสาวรสคั้นมีสรรพคุณช่วยลดอาการเสียงหายใจหวีดและไอของคนเป็นหืด และยังช่วยลดความดันโลหิตลงได้ด้วยฃ ในการศึกษาระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ได้กินน้ำเสาวรสกับกลุ่มที่กินยาหลอก ปรากฏว่า กลุ่มที่กินน้ำเสาวรส เกิดอาการหายใจมีเสียงหวีดแค่เพียง 1 ใน 5 เท่านั้น เทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอก พากันมีอาการมากเกือบร้อยละ 80 และพร้อมกันนั้นในการทดลองอีกแห่งหนึ่ง ยังพบว่ามันมีสรรพคุณทำให้ความดันโลหิตลดลงได้อย่างสำคัญด้วย นักวิทยาศาสตร์เคยยืนยันถึงสรรพคุณทางด้านชีวภาพของมันมาก่อนแล้ว หัวหน้าคณะนักวิจัย นายโรนัลด์ วัตสัน กล่าวว่า “เรามีรายงานทางวิทยาศาสตร์ส่อถึงสรรพคุณทางยาของผล เสาวรส กับอาการที่นับว่าสามัญแต่แตกต่างกันมากของมนุษย์ นั่นคืออาการเป็นหืดกับความดันโลหิตสูง ซึ่งน่าสนใจมาก” เขากล่าวด้วยว่า “เราเคยรู้ว่ามีผลิตผลธรรมชาติที่เป็นผักและผลไม้ ที่มีสรรพคุณเหมือนกับยาหลายอย่าง และของเหล่านี้เป็นที่พอใจของผู้ที่ไม่ชอบกินยา”



ที่มา www.tutoronline.co.th

การขยายพันธุ์เสาวรส




วิธีการขยายพันธุ์

การปลูกเสาวรสรับประทานสดจะแตกต่างจากเสาวรสโรงงานที่ปลูกด้วยต้นกล้าจาก การเพราะเมล็ด คือ ต้องรักษาให้เผลผลิตมีคุณภาพและรสชาติดี ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์เดิม ดังนั้นการปลูกจึงจำเป็นต้องใช้ต้นกล้าที่ได้จากการเปลี่ยนยอดพันธุ์ดีโดย มีขั้นตอน ดังนี้

1. การเพาะเมล็ดสำหรับทำต้นตอ

ต้นตอที่ใช้ควรเป็นเสาวรสโรงงานชนิดพันธุ์สีเหลือง เนื่องจากมีความแข็งแรงและทนทานตอโรงแมลงได้ดี และเมล็ดที่จะนำมาเพราะควรคัดจากผลและต้นแม่ที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรคไวรัส นำมาล้างเอารกที่หุ้มเมล็ดออก นำมาผึ่งให้แห้งแล้วจึงนำไปเพาะแต่ไม่ควรเก็บเมล็ดไว้นานเกินไปเพราะจะทำ ให้ความงอกลดลง การเพาะเมล็ดสามารถทำได้ทั้งในภาชนะ เช่น ถุงพลาสติกและตะกร้าหรือในแปลงเพาะกล้าโดยวัสดุเพาะใช้ดิน ปุ๋ยหมัก ขี้เถ้าแกลบและขุยมะพร้าว ผสมกันในสัดส่วน 2:1:1:1 ใช้วิธีโรยเมล็ดเป็นแถวแล้วกลบด้วยวัสดุเพาะให้หน้าประมาณ 1 เซนติเมตร ระวังอย่าให้เมล็ดแน่นเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่า ปกติเมล็ดที่เพาะจะงอกภายใน 7-10 วัน หลังจากต้นกล้ามีใบจริง 1 ใบ ซึ่งอายุประมาณ 15-20 วันหลังเพาะจึงย้ายลงถุงปลูกขนาด 2.5 x 6 นิ้ว หรือแปลงปลูก ถ้าเป็นฤดูฝนหรือสามารถให้น้ำได้ทั้งนี้ขึ้นกับว้าจะเปลี่ยนยอกดเป็นพันธุ์ ดีในเรือนเพาะชำหรือในแปลงปลูก ในระหว่างการเพาะกล้านั้นต้องมีการพ่นยาป้องกันกำจัดมดที่จะทำลายเมล็ดและ แมลงที่เป็นเพาหะของโรคไวรัส เช่น เพลี้ยไฟและไรแดงอยู่เสมอ เพื่อให้ต้นกล้าปลอดจากโรคไวรัสและต้องให้ปุ๋ยช่วยเพื่อให้ต้นกล้าเจริญ เติบโตเร็วขึ้น โดยอาจจะให้ปุ๋ยทางใบหรือใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หรือ 21-0-0 ผสมน้ำรด หลังจากที่ต้นกล้ามีอายุประมาณ 2-3 เดือน จึงสามารถเปลี่ยนยอดเป็นพันธุ์ดีดได้


2. การเปลี่ยนยอดพันธุ์


เสาวรสเป็นพืชที่สามารถเปลี่ยนยอดได้ง่ายและทำได้ทุกฤดูกาล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้ 2 แบบคือ การเปลี่ยนยอดพันธุ์ต้นกล้าในถุงก่อนนำไปปลูกและการนำต้นตอไปปลูกในแปลง ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนพันธุ์ภายหลัง


2.1 การเปลี่ยนยอดต้นกล้าที่ปลูกในถุง

การเปลี่ยนยอดแบบนี้มีข้อดีคือทำได้ง่ายและสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เนื่องจากทำได้ในพื้นที่จำกัดและสามารถคัดเลือกต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์แข็ง แรงสม่ำเสมอกันไปปลูก นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตได้เร็วขึ้นจึงเป็นวิธีการที่แนะนำให้ใช้การเปลี่ยน ยอดนิยมใช้วิธีเสียบลิ่ม (Cleft grafting) ซึ่งทำได้ 2 แบบคือ

2.1.1 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน

การเปลี่ยนยอดแบบนี้งานพัฒนาและส่งเสริมไม้ผล มูลนิธิโครงการหลวงได้พัฒนาขึ้นเพื่อลดการติดโรคไวรัสของต้นกล้า ปรับปรุงคุณภาพของต้นกล้าให้แข็งแรงสมบูรณ์สม่ำเสมอมากขึ้น ลดระยะเวลาในการเลี้ยงต้นกล้าในถุงปลูกให้สั้นลง เพื่อให้ระบบรากไม่เสียและให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องไม่ชะงัดการ เจริญเติบโตหลังการเปลี่ยนยอด ต้นตอที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนยอดคืออายุ 1.5-2 เดือน หลังเพาะซึ่งจะมีใบประมาณ 5-7 ใบและต้นยังอ่อนอยู่ ทำการเตรียมแผลของต้นตอโดยตัดยอดให้เหลือใบ 3-4 ใบ ผ่าต้นตอลึก 1.5-2.0 เซนติเมตร นำยอดพันธุ์ที่เป็นปลายยอดอ่อน ความยาวประมาณ 5 เซนติเมตรมีใบ 2-3 ใบ มาปาดเป็นรูปลิ่มความยาวเท่ากับแผลของต้นตอ จากนั้นนำมาเสียบลงบนต้นตอผูกด้วยเชือกฟาง ยางยืดหรือใช้ตัวหนีบ เสร็จแล้วนำต้นใส่ไว้ในกระโจมพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นไม่ให้ยอดเหี่ยว หลังจากนั้น 7 วัน ยอดพันธุ์ดีจะติดสามารถนำออกจากกระโจมและเลี้ยงให้แข็งแรงอีก 20-30 วันก่อนนำไปปลูก

2.1.2 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ตาข้าง

การเปลี่ยนพันธุ์แบบนี้เป็นวิธีการที่ใช้อยู่เดิม ซึ่งมีวิธีการเช่นเดียวกับการเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน แต่ต้นตอที่ใช้จะต้องมีอายุมากกว่าคือประมาณ 3-4 เดือน เพื่อให้ต้นตอมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับยอดพันธุ์ดีที่ใช้ โดยตัดเถาให้มีตาข้าง 2 ตาและตัดใบออกให้เหลือครึ่งใบ ในกรณีที่ไม่มีกระโจมการเปลี่ยนยอดแบบนี้สามารถใช้ถุงครอบยอดเป็นต้นๆ ได้ หรือใส่ในกระโจมขนาดใหญ่ได้ เพราะไม่ต้องรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอมากนัก


2.2 การเปลี่ยนยอดพันธุ์ในแปลงปลูก

วิธีการนี้จะทำหลังจากที่นำต้นตอลงไปปลูกในแปลงแล้ว ซึ่งมีข้อเสียคือยากแก่การเปลี่ยนพันธุ์และดูแลรักษาเนื่องจากใช้พื้นที่ มาก แต่จะเหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่อาศัยน้ำฝน เพราะสามารถปลูกต้นตอซึ่งมีความแข็งแรงกว่าต้นที่เปลี่ยนพันธุ์ลงไปก่อนใน ช่วงปลายฤดูฝนแล้วจึงทำการเปลี่ยนยอดพันธุ์ภายหลังการเปลี่ยนยอดสามารถทำได้ตั้งแต่หลังปลูกต้นตอไปแล้วประมาณ 1 เดือนจนกระทั่งเถาเจริญถึงค้างแล้ว โดยวิธีการเสียบลิ่ม (Cleft grafting) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพันธุ์ในถุงปลูก แต่กิ่งพันธุ์ที่นั้นจะเอาใบออกทั้งหมดและต้องคลุมด้วยถุงพลาสติกเพื่อรักษา ความชื้นและหุ้มด้วยกระดาษป้องกันความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนยอดพันธุ์ได้โดยวิธีการเสียบข้าง (Side grafting) ได้ หลังการเปลี่ยนยอดให้รักษาใบของต้นตอไว้แต่ต้องหมั่นปลิดยอดที่จะแตกจากตา ข้างของต้นตอออก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับยอดพันธุ์ดี


การวางแผนการขยายพันธุ์และการผลิตต้นกล้า

การขยายพันธุ์และผลิตต้นกล้าเสาวรสนั้นต้องมีการวางแผนให้สอดคล้องกับระยะ เวลาที่ต้องการปลูก ฤดูกาลและนิสัยการเจริญเติบโตของเสาวรสโดยเฉพาะระยะเวลาให้ผลผลิต การวางแผนที่ถูกต้องจะทำให้เสาวรสให้ผลผลิตอย่างเต็มที่และเสียเวลาและค่า ใช้จ่ายในการดูแลรักษาน้อยที่สุด โดยต้องวางแผนผลิตต้นกล้าให้มีอายุเหมาะสมพอดีเมื่อถึงเวลาปลูกที่ได้กำหนด ไว้ว่าเหมาะสมสำหรับรูปแบบการปลูกต่างๆ เช่นปลูกแบบให้น้ำหรือการปลูกแบบอาศัยน้ำฝน การผลิตต้นกล้าเร็วเกินไปจะทำให้ต้องเลี้ยงต้นไว้ในถุงนานจะมีปัญหาระบบราก ไม่ดีและต้นทุนการดูแลเพิ่มขึ้น การผลิตต้องล้าช้าก็จะทำให้ต้นกล้าไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอเพียงกับระยะเวลาปลูก ที่เหมาะสม




การปลูกเสาวรสรับประทานสด




เสาวรสรับประทานสดมีวิธีการปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาเช่นเดียวกับเสาวรส โรงงาน แต่ต้องเพิ่มความประณีตในการปฏิบัติดูแลรักษาบางอย่าง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ปกติแล้วเสาวรสเป็นพืชที่มีอายุยาวนานหลายปี แต่โดยทั่วไปแล้วมีการปลูกกัน 2 ระบบ คือ การปลูกแบบเก็บเกี่ยว 1 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง และเก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง แต่ระบบที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ในปัจจุบันคือแบบปลูก 1 ครั้ง เก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาล เนื่องจากเป็นการลดต้นทุนคือลงทุนทำค้าง 1 ครั้งสามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนานขึ้น

เสาวรสพันธุ์รับประทานสดที่มูลนิธิโครงการหลวง คัดเลือกได้และส่งเสริมให้ปลูกเป็นการค้ามี 2 พันธุ์คือเสาวรสรับประทานสดเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์สีม่วงทั้ง 2 พันธุ์ โดยคัดเลือกได้เมื่อปี พ.ศ. 2539 จากต้นที่เพาะเมล็ดจากเสาวรสสายพันธุ์ไต้เหวัน


1. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1

ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง เมื่อตัดขวางผลจะเห็นว่ามีลักษ
ณะเป็น 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนักผลประมาณ 70-80 กรัมต่อผลรสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ความหวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix


2. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2

ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับพันธุ์เบอร์ 1 แต่สีผลจะเข้มและมีคุณภาพดีกว่าพันธ์เบอร์ 1 คือ รสชาติหวานและน้ำหนักต่อผลสูงกว่า โดยผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 70-100 กรัมต่อผล ความหวานเฉลี่ยที่ประมาณ 17-18 Brix พันธุ์นี้เปลือกหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน





ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวง
ได้เน้นให้เกษตรกรที่ปลูกเสาวรสใช้พันธุ์รับประทานเบอร์ 2 สำหรับปลูกเป็นการค้าเนื่องจากลักษณะเด่นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สำหรับพันธุ์ที่ใช้แปรรูปทั้งสีม่วงและสีเหลืองก็สามารถปลูกเพื่อรับประทาน ผลสดได้แต่ราคาของผลผลิตจะต่ำกว่าตามคุณภาพของผลผลิต

กระทกรกให้วิตามินซี สูง กระทกรก บางคนเรียกว่า เสวรส ครับ เป็นไม้เลื้อย ยอดและใบมีรสขม เป็นยาครับ ลูกมีรสเปรี้ยวให้วิตามินซี สูง
วิตามินซี ทำให้เม็ดเลือดขาวที่ติดเชื้อถูกทำลายเร็วขึ้น ส่วนเม็ดเลือดขาวที่ไม่ติดเชื้อ จะแข็งแรงและกระปี้กระเปร่ามากขึ้น CD4 จะเพิ่มเพราะเหตุนี้ แต่มีข้อแม้ ต้องไม่รับเชื้อเพิ่ม ต้องไม่ไปแพร่เชื้อ เชื้อที่เข้ามาในร่างกายของเรา จะทำให้เชื้อในกายเรา กลายพันธ์ เป็นพันธ์อมตะ ฆ่าไม่ตาย
ไวรัส HIV ไม่มีขบวนการผลิตอาหารเป็นของตัวมัน มันต้องอาศัยเซลส์ของเราในการเจริญเติบโต แล้วมันก็ Copy ตัวมัน จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เป็นแปด เป็นสิบหก เป็นสามสิบสอง แต่ถ้าไม่มีการก๊อปปี้ มันจะมีวงจรชีวิตเพียงประมาณ 20- 24 สัปดาห์เท่านั้น เราคิดไปฆ่ามัน ทำยาก เพราะมันฉลาด มันขนาดอาศัยตัวเราเป็นอาหาร เปลี่ยนระหัสในเซลส์ของเรา เป็นพวกมัน อย่าไปคิดฆ่ามัน ทำให้มันไม่ก๊อปปี้ตัวเอง 6 - 8 เดือน จำนวนไวรัสควรคงที่ ห รือลดลง สัก 2 - 3 งวด ( งวดละ 4 - 6 เดือน ) ควรจะลดลงจนหมดไป หรือถ้าเหลือต่ำกว่า 50Copy เครื่องมือก็ตรวจไม่พบไวรัสแล้ว อย่างนี้ คุณก็อยู่ร่วมกับไวรัสได้อย่างสันติวิธี แม้ว่าจะมีมันอยู่ในกายเรา ก็ไม่เป็นปัญหากับเราต่อไป
จากการศึกษา พบว่าคนที่ติดเชื้อมักจะขาด วิตามิน B1, B6, B12 กรดโฟลิค เอซิค และฯลฯ โดยเฉพาะ B12 ที่เกิดที่ลำไส้ มักจะขาดมาก เพราะระบบการย่อย และการดูดซึมของลำไส้ ลดการทำงานลง ( สังเกตุว่า คนที่ติดเชื้อมาก จะผอม เพราะเหตุนี้กระมัง ) ) คนที่เสียชีวิตพบว่า B12 เหลือน้อยเสียส่วนใหญ่
ดังนั้น ทานวิตามินซี แล้ว ก็อย่าลืมทานวิตามิน B ด้วยนะครับ


บทความจาก : คุณคนสิ้นหวัง http://pha.narak.com/topic.php?No=12568

สรรพคุณด้านสมุนไพร : เนื้อไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิด และใช้รักษาบาดแผล

ใบ ใช้ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำดื่มเป็นยาเบื่อและขับพยาธิ ใช้พอกแก้สิว

ต้น ใช้ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ และอาการบวม

ดอก ขับเสมหะ แก้ไอ

ผล แก้ปวด บำรุงปอด

ราก ใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข แก้กามโรค


กล้วยหอมราดน้ำเสารสและน้ำส้ม

ส่วนผสม

  • กล้วยหอมสุก 3 ลูก
  • เสาวรสประมาณ 10 ลูก
  • น้ำส้มแมนดารินกระป๋องประมาณ 1/2 ถ้วย
  • เกลือเล็กน้อย

วิธีทำ

  1. ผ่าครึ่งลูกเสาวรส บีบน้ำเบาๆ ไม่ต้องตักเม็ดทิ้ง ผสมกับน้ำส้ม ใส่เกลือเล็กน้อย แช่ในตู้เย็นจนเย็น
  2. หั่นกล้วยหอมเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 ซม. จัดใส่จาน ราดด้วยน้ำเสาวรสที่แช่เย็นไว้ รับประทานขณะที่ยังเย็นอยู่


เค้กสูตรนี้ที่นำมาเสนอ จะใช้แป้งน้อยหน่อย เพราะเราจะใช้อัลมอนด์ผงมากกว่า ทำให้ได้สารอาหารอย่างอื่นเพิ่มขึ้น แหะ ๆ แต่ยังไงก็อ้วนเหมือนกันหล่ะน๊า สูตรนี้ทำง่ายมาก ๆ ไม่อยากจะ said ไม่เชื่อเรามาดูกัน (แต่อาจจะหาวัตถุดิบบางอย่างยากซักหน่อย เพราะซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปอาจไม่มี) ส่วนผสมตัวเค้ก : - แป้งเอนกประสงค์ 1/2 ถ้วย - อัลมอนด์ผง (Almond meal or Almond ground) 1 1/4 ถ้วย - น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย กับ 2 ช้อนโต๊ะ - เนยเค็ม 185 กรัม - ลูกแพร์ในน้ำเชื่อม 1 กระป๋อง ส่วนผสมซอสเสาวรส : - ผลเสาวรส คว้านเอาแต่เนื้อ 1/3 ถ้วย - คอร์นไซรัป หรือ แบะแซ หรือ กลูโคสไซรัป 1/3 ถ้วย - น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ

โยเกิร์ตผลไม้สด





ส่วนผสม
  • มะละกอตักเป็นรูปกลมเล็ก ¼ ถ้วย
  • ฮันนี่ดิว(แคนตารูปเขียว)
  • ตักเป็นรูปกลมเล็ก ¼ ถ้วย
  • แก้วมังกรตักเป็นรูปกลมเล็ก ¼ ถ้วย
  • เสาวรส 2 ผล
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1-2 ถ้วย เกลือป่นเล็กน้อย ใบสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

1.นำผลไม้ทั้งหมดแช่ตู้เย็น
2.คั้นน้ำเสาวรส ใส่น้ำผึ้ง เกลือ คนให้เข้ากัน
3.เทโยเกิร์ตใส่ถ้วย ตักผลไม้สดชนิดต่าง ๆ
วางไว้ด้านบน ราดด้วยน้ำเสาวรส
ตกแต่งด้วย ใบสะระแหน่

น้ำเสาวรส

ชาติ ของเสาวรสนี้ก็ออกเปรี้ยว คนจึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม ทั้งเป็นน้ำเสาวรสคั้นสด หรือเอามาผสมกับน้ำผลไม้อื่นๆ อย่างน้ำส้ม สัปปะรด หรือแอปเปิ้ลก็ได้ และด้วยความเปรี้ยวนี้เองทำให้เสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินซี ใครที่เป็นหวัดเจ็บคออยู่ก็จิบน้ำเสาวรสเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ หรือใครที่ยังไม่เป็นหวัด วิตามินซีในเสาวรสก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้อีกต่างหาก และนอกจากวิตามินซีแล้ว เสาวรสก็ยังมีวิตามินเอ โดยเฉพาะสารแคโรทีนอยด์ จึงช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่งได้ด้วย

ประโยชน์ ของเสาวรสยังไม่หมดแค่นั้น เพราะการดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันก็ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ และรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อีกต่างหาก ส่วนการบริโภคนั้นนอกจากจะดื่มเป็นน้ำผลไม้แล้ว ถ้าอยากจะกินผลสดๆ เลยก็สามารถทำได้เช่นกัน

ส่วนผสม

เสาวรส 8 ลูก
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. ล้างเปลือกเสาวรสให้สะอาด พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. ใส่น้ำตาลทราย และน้ำสะอาดลงในหม้อ ตั้งไฟพอเดือด คนให้น้ำตาลละลายทั่วกัน ตั้งไฟอ่อนต่อไปอีก ประมาณ 3 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
2. ผ่าเสาวรส แล้วเทเนื้อลงเครื่องปั่น เติมเกลือป่น ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน

หมายเหตุ
เนื่องจากเสาวรสรสมีรสเปรี้ยว เวลาเสิร์ฟจึงต้อง ใส่น้ำเชื่อมลงคน ให้เข้ากัน ก่อนใส่น้ำแข็ง


สาวรสพันธุ์รับประทานสด เป็นผลไม้ส่งเสริมของมูลนิธิโครงการหลวงที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง และมีปริมาณความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากทุกปี ในแง่ของเสาวรสเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เสาวรสสดมีปริมาณเบต้า แคโรทีน วิตามินซีและวิตามินอีสูง เสาวรสที่มีรสเปรี้ยวจะปลูกส่งโรงงานเพื่อนำไปบริโภคโดยตรง ปัจจุบันเสาวรสเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากเนื่องจากมีรสชาติดีประกอบกับ ให้คุณค่าทางอาหารสูง โดยมีวิตามินซี 20 มิลลิกรัมต่อเนื้อ 100 กรัม

ผศ.ดร. สิริภัทร์ พราหมณีย์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนและคณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยเสาวรสขึ้นและประสบความสำเร็จสามารถนำมาขยายผล เพื่อการเพาะปลูกของเกษตรกรของประเทศไทยได้แล้วในตอนนี้

และ จากรายงานการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวได้ระบุว่า เสาวรสสามารถปลูกได้ในพื้นที่ราบและพื้นที่สูง แต่พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดดส่องทั่วถึง เสาวรสให้ผลผลิตได้ตลอดปีถ้าไม่ขาดน้ำ การปลูกมี 2 แบบ คือ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝนและการปลูกแบบให้น้ำ เสาวรสพันธุ์รับประทานสดควรปลูกในพื้นที่ให้น้ำได้ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝนจะให้ผลผลิตในเดือนสิงหาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดังนั้นต้องวางแผนการปลูกก่อนเดือนสิงหาคมอย่างน้อย 7 เดือน ส่วนการปลูกแบบให้น้ำสามารถทำ ได้ทุกช่วงเวลา แต่ควรคำนึงถึงความสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เช่น ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนจะประหยัดในเรื่องการใช้น้ำแต่จะมีการกำจัดวัชพืชมากขึ้น ถ้าปลูกในช่วงฤดูร้อนจะพบปัญหาการให้น้ำ แต่การกำจัดวัชพืชจะน้อยลง




ประเทศ ไทยเริ่มปลูกเสาวรสครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 โดย เป็นพันธุ์สีม่วงมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว สำหรับมูลนิธิโครงการหลวงมีการปลูกเสาวรสอยู่ 2 ชนิด คือ เสาวรสโรงงานได้ส่งเสริมปลูกมานานแล้ว และเสาวรสสำหรับรับประทานสด ซึ่งคัดเลือกพันธุ์ได้ในปี พ.ศ. 2539 และส่งเสริม ให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2540 เสาวรสที่ส่งเสริมปลูกในพื้นที่มูลนิธิโครงการหลวงแบ่งได้ 2 ประเภท คือ



1. เสาวรสพันธุ์สำหรับส่งโรงงาน เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติเปรี้ยว ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อส่งโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปน้ำผลไม้ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือเสาวรสโรงงานชนิดสีม่วง เสาวรสชนิดนี้ผิวผลสีม่วง ผลมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ดอกสามารถผสมตัวเองได้ดี ดอกบานในตอนเช้า ผลสุกมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมมากกว่าพันธุ์สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร น้ำหนัก 50-60 กรัมต่อผล

และ เสาวรสโรงงานชนิดผลสีเหลือง เสาวรสชนิดนี้ผิวผลสีเหลือง ดอกจะบานในตอนเที่ยง ส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติดต้องผสมข้ามต้น ทนต่อโรคต้นเน่า เถาเหี่ยว โรคไวรัส และทนต่อไส้เดือนฝอย นิยมใช้เป็นต้นตอในการเสียบกิ่งพันธุ์ของผลสีม่วงเส้นผ่าศูนย์กลางของผล ประมาณ 6 เซนติเมตร น้ำหนักผล 80-120 กรัมต่อผล มีรสเปรี้ยวมาก เนื่องจากเนื้อในมีความเป็นกรดสูงกว่าพันธุ์สีม่วง

2. เสาวรสพันธุ์รับประทานสด เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติดี รสหวานกว่าพันธุ์ที่ส่งโรงงาน มีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1 ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง ผลที่ผ่าตามขวางมีลักษณะมี 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนัก 70-80 กรัมต่อผล รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม เปอร์เซ็นต์ความหวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix

และ พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2 ลักษณะคล้ายพันธุ์เบอร์ 1 แต่ผลจะสีเข้มและเปลือกมีความหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงเก็บรักษาไว้ได้นาน เส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนัก 70-100 กรัมต่อผล เปอร์เซ็นต์ความหวานเฉลี่ยประมาณ 17-18 Brix

เสาวรสจะให้ผลผลิตดีใน ช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่สามารถให้น้ำได้จะสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปี ผลเสาวรสจะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 50-70 วันหลังดอกบาน

นับ ว่าเป็นความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการทำการศึกษาวิจัยพืชเพื่อการต่อยอดและขยายผลให้กับเกษตรกรนำไปเพาะปลูก เชิงพาณิชย์ต่อไปได้.


บทความโดย :
แวมไพร์-LSVteam♥ http://www.ubmthai.com

Passion Fruit Cake

ขอเสนอเมนูหวานๆ ของชอบของใครหลายคนนะค่ะ Passion Fruit Cake

จากกระทกรก หรือเสาวรส ที่รสชาติเปรี้ยวๆอมหวาน นิดๆ กลิ่มหอมเป็นเอกลักษณ์ เอามาทำหน้าเค้กซะเลย

เค้กก็สูตร จากเค้กส้มในตำนาน






ไอเดีย คุณ หมี่ (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=yoyae&date=20-10-2009&group=17&gblog=8)



และ สูตร เอามาจากBlog คุณเก้า (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kaoim&month=10-11-2009&group=21&gblog=15)

ขอยืม รูปกะสูตรด้วยนะ เหอๆ

Japanese Sponge Cake กันบ้าง อันนี้ยิ่งง่ายกว่านั้นอีก สูตรนี้ได้มาจากเรือนแม่เจเจนะคะ การันตีว่า ง่ายมั่กๆ อบออกมามีแต่นุ่มกับนุ่ม

สูตรค่ะ (สำหรับ 1 ปอนด์)

  1. เนยจืด 30 กรัม
  2. แป้งเค้ก 40 กรัม
  3. นมข้นจืด 40 กรัม
  4. ไข่ไก่ 1/2 ฟอง (ไข่ทั้งใบ)
  5. ไข่แดง 2.5 ฟอง
  6. ไข่ขาว 2.5 ฟอง
  7. น้ำตาล 50 กรัม
จะนำเอา sponge เค้กแบบญี่ปุ่นนี้มาทำ Trifle นะคะ ฉะนั้นอย่างแรกเราเตรียมถาดสี่เหลี่ยมก่อนค่ะ ทาเนยขาวให้ทั่วถาด
จากนั้นก็ปูกระดาษไข แล้วทาเนยขาวทับอีกครั้ง โรยแป้งนวลแล้วเคาะแป้งส่วนเกินออก (เก้าลองไม่ทาเนยทับแล้ว เค้กจะติดกระดาษนะคะ ต้องทาเนยด้วยค่ะ)


อุ่นเตาอบไว้ก่อนค่ะ 175 องศาซี จากนั้นนำเนยสด 30 กรัมมาละลาย ทิ้งให้อุ่นๆ ใส่แป้งเค้กลงไปคนให้ทั่วค่ะ ใช้ตะกร้อมือนี่แหละ งานนี้ไม่ต้องพึ่งเครื่องตีไข่นะคะ

เติมนมข้นจืด 40 กรัมลงไป แล้วคนให้เข้ากันค่ะ



ตามด้วยไข่แดงและไข่ทั้งฟองตามสูตรค่ะ คนให้เข้ากันแล้วพักไว้ก่อน


ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟอง จะเติมน้ำมะนาวลงไปสักนิดก็ได้เพื่อให้อยู่ตัวค่ะ ถ้าไม่มีครีมออฟทาทาร์ ตีจนตั้งยอดนะคะ ถ้าใช้มือตีก็ประมาณ 6 นาทีเองค่ะ

ตั้งยอดดีแล้ว นำมาแบ่งตะล่อมใส่ส่วนไข่แดง ค่อยๆ ตะล่อมให้เข้ากันนะคะ เบาๆ เลยค่ะ


เทส่วนผสมเค้กเกลี่ยลงในถาดที่เตรียมไว้ค่ะ เคาะก้นถาดไล่ฟองอากาศด้วยนะคะ แล้วนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 175 องศาซี ประมาณ 17 นาที คอยดูว่าสีออกเหลืองๆ ไม่ถึงกับน้ำตาลมาก ก็ใช้ได้แล้วค่ะ


ออกมาแล้ว ลอกกระดาษไข ผึ่งให้เย็นบนตะแกรงนะคะ


ลองตัดมาดูนิดนึง นุ่มมากเลยค่ะ คอนเฟิร์มสูตรเรือนคุณแม่เจเจเลยค่ะ

คราว นี้จะนำ sponge cake ตัวนี้ไปทำแยมโรลก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่วันนี้กุ๊งกิ๊งนำมาทำ Trifle มีส่วนประกอบของตัวเค้ก , lemon curd , ครีมชีส, ซอสสตอเบอรี่ แต่งหน้าด้วยผลไม้ตามใจชอบ ใครชอบวิปปิ้งครีมก็ใส่ลงไปด้วยก็ได้ค่ะ


ตามปกติเขาจะใช้คัสตาร์ดครีมนะคะ แต่กุ๊งกิ๊งว่า มันจะหวานเกินไป กุ๊งกิ๊งได้ไอเดียนี้จาก JoyofBaking.com ค่ะ ใช้ lemon curd สูตรของคุณโกโก้คุง แต่เพิ่มเสาวรสลงไปค่ะ



นำส่วนประกอบทั้งหมดมาประกอบเป็น Trifle ค่ะ ข้างล่างเป็นตัวเค้ก แล้วใส่ซอสสตอเบอรี่ (กุ๊งกิ๊งใช้สูตรของ JoyofBaking.com) ใส่ lemon curd ตามด้วยครีมชีส (หรือวิปปิ้งครีมก็ได้ค่ะ) แล้วก็สลับเรียงต่อด้วยเนื้อเค้ก ,ซอสสตอเบอรี่ , lemon curd, โปะด้วยครีมชีส สุดท้ายประดับด้วย ผลไม้ตามใจชอบ นำไปแช่ไว้ในตู้เย็นรสชาติจะหวานๆ เปรี้ยวๆ ทานตอนเค้กเย็นๆ ชื่นใจค่ะ


สูตรหน้า passion fruit




  1. น้ำ 1 1/2 ถ้วย
  2. Passion fruit 4 ลูก (จริงๆ 3 ลูกก็พอแล้วค่ะ)
  3. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
  4. แป้งกวนไส้ 1/4 ถ้วย (เก้าลดแป้งลงค่ะ เพราะกลัวจะเหนียวเกินไป)
  5. เนย 20 กรัม
  6. มะนาว 1 ลูก (เพิ่มความหอม)
  7. สีเหลืองนิดหน่อย
นำทุกอย่างยกเว้นแป้งและเนย ใส่กะทะ ขึ้นตั้งไฟให้เดือดค่ะ

จาก นั้นใส่แป้งลงไป ตอนนี้ที่เกิดอุบัติเหตุ แป้งมันจับเป็นก้อนเลยค่ะ แทบจะต้องรื้อทำใหม่ เป็นความผิดพลาดที่ไม่รอบคอบเอง จริงๆ ควรจะนำน้ำส่วนนึงออกมาละลายแป้งเสียก่อน ไม่งั้นแป้งมันจะจับกันเป็นเม็ดๆ ในหน้าไส้
จับออกมากรอง แล้วเพิ่มตัวเม็ด passion fruit ลงไป 1 ลูก แต่เดิมทำแค่สามลูกค่ะ เม็ดที่เหลือมันไปอยู่กับแป้งที่เป็นเม็ดหมดเลย



ผลคือ แทนที่หน้าเค้กจะหวานอมเปรี้ยว ( มี passion fruit 3 ลูก)
กลายเป็น หน้าเค้กออกรสเปรี้ยวจี๊ด ( passion fruit 4 ลูก)

แต่กลายเป็นดีไปค่ะ เพราะพอลองมาชิมแล้วมันเปรี้ยวดี เป็นงั้นไปเนาะ
แช่ใส่ตู้เย็น ทานตอนเค้กมันเย็นๆ แล้วชื่นใจ คลายร้อนดีค่ะ ใครชอบความเปรี้ยวของเสาวรสต้องลองดูค่ะ